ชุดนักเรียนไทย..ประวัติศาสตร์อันยาวนานจากสมัย ร.5

Must Read

เป็นประเด็นใหญ่โตขึ้นจนได้กับเรื่องของชุดนักเรียน จริงๆเรื่องดั่งกล่าวนี้ไม่ได้เป็นข้อพิพาทกันแค่เมื่อเร็วๆนี้เท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่สังคมเคยพูดถึงกันมานานแล้ว แต่ครั้งนี้ดูเหมือนฝ่านนักเรียนคงไปกินดีหมี หัวใจเสือกันมากระมังถึงได้มีการปฏิบัติการกันอย่างเป็นรูปธรรมขนาดนี้ แม้จะมีเพียงส่วนน้อย ซึ่งเราคงไม่ไปฟันธงว่าใครคิดถูก คิดผิดเพียงแต่จะเล่าให้ฟังเฉยๆว่าจริงๆแล้วชุดนักเรียนมีที่มาอย่างไร และมีมายาวนานเพียงไหน

 

หลายท่านคงไม่ทราบว่าชุดนักเรียนเป็นชุดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่สมัพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ได้ออกพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน เมื่อปีพุทธศักราช 2482 ซึ่งในตอนนั้นเครื่องแบบนักเรียนไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

โดยชุดนักเรียนชายไทยในสมัยนั้นจะมี หมวกฟาง ที่พันผ้าตามสีประจำโรงเรียน พร้อมติดอักษรย่อชื่อโรงเรียนที่หน้าหมวกมี สำหรับเสื้อจะเป็นเสื้อราชปะแตนสีขาว ดุมทองกางเกงรูเซีย เป็นกางเกงทรงกระบอกยาวถึงใต้เข่ารวบชายรัดไว้ใต้เข่า) สีดำ ถุงเท้าขาว หรือดำ แต่ในสมัยก่อนถึงเท้าถือเป็นสินค้าราคาแพงนักเรียนในสมัยนั้นจึงไม่ได้ใส่ถุงเท้ากันทุกคน รองเท้าก็จะเป็นรองเท้าสีดำ

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้นักเรียนตามหัวเมืองเปลี่ยนมาใช้เสื้อสีเทาแทนสีขาว ตามเครื่องแบบสำหรับเดินป่า ที่ข้าราชการในพระนครใช้เมื่อออกไปหัวเมืองเพราะรักษาความสะอาดได้ง่ายกว่า จากนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงเครื่องแบบนักเรียนมาเรื่อยๆตามยุคตามสมัยจนกระทั่งถึง ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งในสมัยนั้นถ้าเป็นของที่หายากขาดตลาด เครื่องแบบนักเรียนจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็น หมวกกะโล่สีขาว เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว ปักอักษรย่อนามจังหวัดพร้อมหมายเลขประจำโรงเรียนด้วยไหมสีน้ำเงิน โรงเรียนราษฎร์หรือสมัยนี้เรียกว่า โรงเรียนเอกชนปักสีแดง

กางเกงขาสั้นสีกากี เข็มขัดหนังสีน้ำตาล ถุงเท้าน้ำตาล รองเท้าน้ำตาล มีก็ได้ไม่มีก็ได้
แต่ก็จะมีบางโรงเรียนที่มีเครื่องแบบพิเศษ เช่น โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (ปัจจุบันคือ วชิราวุธวิทยาลัย) โรงเรียนราชวิทยาลัย (ปัจจุบันคือ โรงเรียน ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย) โรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ โรงเรียนพรานหลวง ใช้เครื่องแต่งกายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้าราชการพลเรือนในพระราชสำนัก ร.ศ. 129 ประกอบด้วย หมวกหนีบสักหลาดสีน้ำเงินแก่ ติดตราพระมหามงกุฎเงินที่ขวาหมวก กับมีดุมพระมหามงกุฎเงินที่หน้าหมวก 2ดุม

เสื้อราชปะแตนสีขาว ดุมพระมหามงกุฎเงิน ติดแผ่นคอพื้นน้ำเงินแก่มีแถบไหมเงินพาดกลาง กับมีอักษรย่อนามโรงเรียนทำด้วยเงิน ม.(มหาดเล็กหลวง) ร. (ราชวิทยาลัย) ช. (มหาดเล็กหลวงเชียงใหม่) และ พ. (พรานหลวง) ทับกึ่งกลางแผ่นคอทั้งสองข้าง กางเกงไทยสีน้ำเงินแก่ ถุงเท้าดำ รองเท้าดำ
แต่ในชั่วโมงเรียนปกติจะสวมเพียง เสื้อคอกลมสีขาว กางเกงขาสั้น

สำหรับเครื่องแบบชุดของนักเรียนหญิงนั้น ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกรากฐานการศึกษาชาตินั้น มุ่งเน้นจัดการศึกษาไปที่นักเรียนชายเป็นหลัก จนกระทั้งในปี พ.ศ. 2456 จึงมีการจัดหลักสูตรสำหรับสตรีขึ้นเป็นการเฉพาะ ได้เริ่มมีการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับสตรีขึ้น พร้อมทั้งเริ่มมีเครื่องแบบนักเรียนหญิง ซึ่งชุดนักเรียนหญิงในสมัยก่อนก็จะมีความน่ารักอยู่ไม่น้อยคือ นุ่งผ้าซิ่นสีพื้น(เหมือนประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบัน) ต่อมามีกำหนดให้ติดเข็มอักษรย่อนามโรงเรียน เช่น โรงเรียนสตรีวัฒโนทัยพายัพ ติดเข็มอักษร ว พ ในวงกลม

 

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2นี่เองที่อนารยประเทศได้มีการหันมาใส่ใจในเรื่องของเครื่องแบบนักเรียนมากขึ้น และมีความใกล้เคียงกับเครื่องแบบนักเรียนในปัจจุบัน อาจมีความต่างกันบ้างตามภูมิอากาศของแต่ล่ะที่ และเข้ากับกาลเทศะของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา เครื่องแบบของนักเรียนชายส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยกางเกงขาสั้นหรือขายาวสีดำและเสื้อเชิ้ตสีขาวและอาจมีเนคไทด้วย ส่วนเครื่องแบบของนักเรียนหญิง ส่วนใหญ่แล้วประกอบไปด้วยเสื้อครึ่งตัวและกระโปรง
ปัจจุบันเครื่องแบบนักเรียนไทย มีรูปแบบการแต่งกายของผู้เข้าศึกษาในระดับอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ในสถานศึกษาที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. 2551 ประกอบกับระเบียบปฏิบัติของโรงเรียนต่าง ๆ เองซึ่งจะแตกต่างกันบ้างตามเพศ และสังกัดของโรงเรียนต่างๆ เช่นโรงเรียนของรัฐอย่างโรงเรียนที่สังกัดกรุงเทพมหานคร หรือโรงเรียนเอกชนซึ่งก็จะเป็นไปตามกฎระเบียบของโรงเรียนนั้นๆ

 

Latest News

‘เอ็ม พิคเจอร์’ รวมพลเหล่าตัวตึงประชันความฮาในหนังคอมเมดี้แห่งปี “เสือเผ่น1” 6 เมษานี้

ค่ายเอ็ม พิคเจอร์ ส่งหนังสุดฮารับซัมเมอร์เมษานี้ รวมเอาบรรดา "ตัวตึง" สายเฟียสไว้เพียบในหนังสุดฮาแห่งปี "เสือเผ่น ๑" "เสือเผ่น ๑" เป็นเรื่องราวของ “เสือโคร่ง” กับ “ชีต้าห์” (แจ๊ส สปุ๊กนิค รับบทสองคาแรคเตอร์) "ชีต้าร์" เด็กช่างกล นิสัยนักเลง ชอบท้าตีท้าต่อย...

เรื่องที่เกี่ยวข้อง