สทนช.เร่งประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมอีสาน ภาคกลางลุ่มต่ำระวัง!ฝนหนักจากร่องมรสุม

เลขาธิการ สทนช. ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำพื้นที่ภาคอีสาน บูรณาการขับเคลื่อนศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย เร่งประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมเพิ่มเติม พร้อมเฝ้าระวังแหล่งน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งมีปริมาณน้ำมากหลังคาดการณ์ฝนยังตกหนักช่วงวันที่ 6-7ต.ค.นี้ กำชับแผนระบายน้ำต้องรัดกุม ไม่ซ้ำเติมน้ำท่วมพื้นที่ท้ายน้ำ เตรียมกักเก็บน้ำหวังใช้เป็นน้ำต้นทุนรับมือผลกระทบเอลนีโญ

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและเป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ สำนักงานชลประทานที่ 7 จ.อุบลราชธานี ว่า จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ(องค์การมหาชน) คาดว่าตั้งแต่วันที่ 6-7 ต.ค.66 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือฝั่งตะวันตก จะมีปริมาณฝนตกมากขึ้น เนื่องจากในช่วงนี้ยังมีร่องมรสุมพาดผ่านในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ซึ่งจะทำให้มีปริมาณฝนตกชุกหนาแน่นในพื้นที่ลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำมูล จะทำให้มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น จึงต้องเฝ้าระวังแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำมาก ได้แก่ เขื่อนน้ำพุง เขื่อนห้วยหลวง เขื่อนน้ำอูน หนองหาร เขื่อนลำปาว เขื่อนสิรินธร และเขื่อนอุบลรัตน์

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

โดยเฉพาะหนองหาร เขื่อนลำปาว และเขื่อนอุบลรัตน์ ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษเนื่องจากปริมาณน้ำเกินความจุเก็บกักไปแล้ว ทั้งนี้ภาพรวมของระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำมูล ยังอยู่ในเกณฑ์น้ำมากและมีน้ำล้นตลิ่งบริเวณ จ.นครพนม สกลนคร อุดรธานี ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลราชธานี โดยหลังจากจากวันที่ 8 ต.ค.66 ปริมาณฝนจะค่อยๆ เบาบางลง  

 

 

 

เนื่องจากการคาดการณ์ฝนในช่วงวันที่ 6-7 ต.ค.นี้ ในพื้นที่ภาคอีสานจะมีปริมาณฝนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแนวทางการระบายน้ำภายใต้การทำงานของศูนย์ฯบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานติดตามวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์น้ำอย่างรัดกุมรอบคอบ และต้องเป็นบูรณาการวางแผนบริหารจัดการน้ำตลอดลุ่มน้ำเนื่องจากมีความคาบเกี่ยวหลายจังหวัด เพื่อไม่ให้ซ้ำเติมพื้นที่น้ำท่วมเดิม ลดผลกระทบต่อประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด ทั้งนี้ ปริมาณน้ำในลำน้ำชียังมีค่อนข้างมาก ทำให้ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่รวมน้ำที่ไหลผ่านจากลำน้ำมูลและลำน้ำชีได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ทำให้ปริมาณน้ำที่สถานี M.7 อ.วารินชำราบ มีแนวโน้มสูงขึ้น จึงได้หารือแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยลุ่มน้ำมูลยังมีพื้นที่รับน้ำค่อนข้างมากและได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมไม่มากนัก ดังนั้นเพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดผลกระทบน้ำท่วมของ จ.อุบลราชธานี และพื้นที่ลำน้ำชี จึงให้ลุ่มน้ำมูลพิจารณาใช้เขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนาหน่วงน้ำเพื่อเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำชีลงแม่น้ำโขงให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยลดระดับน้ำท่วมของ อ.วารินชำราบ ให้ต่ำลงและช่วยเร่งคลี่คลายสถานการณ์ให้เร็วยิ่งขึ้น โดยในวันพรุ่งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและเยี่ยมให้กำลังประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วย

“ส่วนการเพิ่มการระบายน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์ ขอให้ประเมินแนวทางการระบายน้ำหลังจากวันที่ ต.ค.ไปแล้วอีกครั้ง เพื่อปรับเกณฑ์การระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ สำหรับเขื่อนลำปาวได้ปรับลดการระบายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยเร่งคลี่คลายสถานการณ์น้ำท่วมของ จ.อุบลราชธานี อีกทางหนึ่ง โดยในวันที่ ต.ค.นี้ สทนช.จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมที่เขื่อนลำปาวเพื่อพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการน้ำร่วมกัน รวมทั้งต้องเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้รับทราบสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งต้องเตรียมกักเก็บน้ำเพื่อใช้เป็นน้ำต้นทุนสำหรับรับมือผลกระทบเอลนีโญด้วย” เลขาธิการ สทนช. กล่าว

สำหรับพื้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยใน จ.อุบลราชธานี มี อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองอุบลราชธานี อ.วารินชำราบ อ.ม่วงสามสิบ อ.ตระการพืชผล อ.เหล่าเสือโก้ก อ.ดอนมดแดง อ.เขื่องใน อ.เดชอุดม และ อ.ตาลสุม ปัจจุบันมีศูนย์พักพิงชั่วคราวใน 2 อำเภอ ที่ อ.เมืองอุบลราชธานี และ อ.วารินชำราบ จำนวน 20 จุด มีจำนวนชุมชนที่อพยพทั้งสิ้น 25 ชุมชน 433 ครัวเรือน 1,474 คน โดยสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง หากไม่เกิดฝนตกลงมาซ้ำ  

หลังจากนั้น เลขาธิการ สทนช. และคณะ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำบริเวณจุดติดตั้งเครื่องสูบน้ำของกรมทรัพยากรน้ำ ณ ประตูน้ำข้างวัดเสนาวงศ์ อ.วารินชำราบ เป็นเครื่องสูบน้ำขนาด 30 นิ้ว จำนวน 1 เครื่อง โดยเริ่มสูบน้ำตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 ก.ย. และปัจจุบันยังดำเนินการสูบน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งระบายน้ำท่วมขังออกจากชุมชนท่าบ้งมั่งและชุมชนเกตุแก้ว และในช่วงบ่ายลงพื้นที่ติดตามแนวทางการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนหัวนา เขื่อนราษีไศลและเขื่อนลำโดมใหญ่ด้วย โดยมอบนโยบายให้มีการปรัดลดการระบายน้ำและเป็นการหน่วงน้ำไว้ด้านเหนือเขื่อน เพื่อให้น้ำจากแม่น้ำชีไหลลงแม่น้ำโขงก่อน

ขณะที่พื้นที่ภาคกลาง เลขาธิการ สทนช.กล่าวว่า ประเทศไทย ยังคงมีฝนตกหนักมากในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง จากอิทธิพลของร่องมรสุม ถึงวันที่ 8 ต.ค.นี้ จะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ทำให้ต้องระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากช่วง 1 – 3 วันนี้ พร้อมระวังน้ำล้นตลิ่งบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ บริเวณแม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำเจ้าพระยา คาดการณ์จะมีน้ำหลากจากพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ คลองโผงเผง จ.อ่างทอง ,คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และ ต.หัวเวียง อ.เสนา, ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 1 -1.50 เมตร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *