หาเสียงเงินสะพัดกว่า 6 หมื่นล้านบาท ม.หอการค้าไทยชี้ ศก.ไทยขึ้นอยู่กับเสถียรภาพรัฐบาลใหม่

รัฐบาลใหม่ปัจจัยกำหนดเศรษฐกิจไทยโต-หดตัว ม.หอการค้าระบุ ช่วงหาเสียงเงินสะพัดกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนเมษายน 2566 จากประชาชนทั่วประเทศ 2,238 คน ระหว่างวันที่ 24-28 เมษายน 2566 พบว่าความเชื่อมั่นทุกรายการดีขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมอยู่ระดับ 55 เพิ่มจากระดับ 53.8 ในเดือนมีนาคม 2566 เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 38 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (ภาพจากแฟ้ม)

ส่วนบรรยากาศรณรงค์หาเสียงก่อนเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ล้วนเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จากทุกพรรคลงหาเสียงในพื้นที่ทั่วประเทศ ปิดแผ่นป้ายประกาศนโยบาย จัดดีเบตกันต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการแข่งขันทางการเลือกตั้งที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย จึงเป็นผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแรงสะพัดและเงินเข้าระบบสูงหลายหมื่นล้าน จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย เผยว่าตั้งแต่ปลายปี 2565 ถึงปัจจุบัน มีเงินสะพัดทางเศรษฐกิจแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท จากใช้จ่ายเพิ่มของคนในประเทศและต่างชาติ ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น รวมทั้งตัวเลขธนบัตรใบละ 500 บาท และใบละ 1,000 บาท ที่สะพัดในระบบเศรษฐกิจ จึงส่งผลต่อดัชนีความเห็นต่อสถานการณ์ทางการเมืองยังปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเดือนที่ 7 และสูงสุดรอบในรอบ 42 เดือน

 

“ก่อนหน้านี้ประเมินไว้แล้วว่าช่วงหาเสียงเลือกตั้งคาดมีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ 5-6 หมื่นล้านบาท แต่เชื่อว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีกช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้งอีก 2-3 หมื่นล้านบาท จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น” นายธนวรรธน์กล่าว

คาดว่าหลังจบการการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมแล้ว จะเห็นการจัดตั้งรัฐบาลและได้นายกรัฐมนตรีเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม หากหน้าตารัฐบาลดีผลออกมาเป็นบวก นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ จะเริ่มกลับมาลงทุนมากขึ้น

ทั้งนี้ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังระบุอีกว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตในกรอบ 3.0-3.5% ซึ่งโอกาสน้อยมากที่เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 3% ปัจจัยเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 3% คือ รัฐบาลใหม่ขาดเสถียรภาพ จะบั่นทอนความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุน ลงทุนในประเทศล่าช้าและอาจส่งผลต่อคนไทยท่องเที่ยว หากว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพและจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเร็ว เชื่อว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตได้ 3.5-4.0%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *