“โจ ไบเดน”นอนมาเชื่อกำชัยไปกว่าครึ่ง

อลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : แม้การนับคะแนนยังไม่เสร็จสิ้น แต่หนึ่งวันหลังวันเลือกตั้ง คะแนน “ป็อปปูลาร์โหวต” ที่ “โจ ไบเดน” ได้รับจากชาวอเมริกันนั้นถือว่าสูงชนิดไม่เคยมีผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนไหนเคยได้รับมาก่อน

เอบีซี นำเสนอข่าวเมื่อสายวันพุธที่ 4 พฤศจิกายน ซึ่งการนับคะแนนเลือกตั้งของทุกรัฐยังไม่แล้วเสร็จอย่างเป็นทางการ ว่า นับจนถึงเวลาดังกล่าว คะแนนที่อดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้รับจากทุกรัฐ ถือว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งสหรัฐฯ แล้ว

โดยสถิติเดิมนั้น อยู่ที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2008 ประธานาธิบดีบารัก โอบาม่า ได้รับคะแนนเสียงจากชาวอเมริกันมากถึง 69,498,516 เสียง แต่การเลือกตั้งปี 2020 นั้น เอบีซีอ้างข้อมูลจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่ชาติ หรือ FEC ว่าคะแนนเสียงที่ โจ ไบเดน ได้รับขณะการนับคะแนนแล้วเสร็จไปเพียงประมาณ 86 เปอร์เซ็นต์นั้น อยู่ที่ 71,542,764 เสียง

ขณะที่คะแนนเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์ อยู่ที่ 68,265,026 เสียง

ทั้งนี้ คะแนนเสียงของ โจ ไบเดน และโดนัลด์ ทรัมป์ จะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าการนับคะแนนจะแล้วเสร็จ ซึ่งเชื่อว่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ โดย FEC ระบุด้วยว่าการเลือกตั้ง 2020 เป็นการเลือกตั้งที่ประชาชนชาวอเมริกันออกมาใช้สิทธิ์ของตัวเองมากสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน

โดยในช่วงสายของวันพุธที่ 4 พฤศจิกายนนั้น เอบีซี บอกว่ายังเร็วเกินไปที่จะระบุว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป และว่าในเวลานั้น การนับคะแนนของบางรัฐ เช่น อริโซน่า จอร์เจีย มิชิแกน เนวาด้า นอร์ธ คาโรไลน่า เพ็นซิลเวเนีย และวิสคอนซิน ยังอยู่ในลักษณะสูสีเกินจะประกาศว่าใครเป็นผู้ชนะในรัฐนั้นๆ.

อย่างไรก็ดี ภายใต้ระบบการเลือกตั้งของอเมริกานั้น เสียงของประชาชนทั้งประเทศ ที่เรียกว่า ป็อปปูลาร์โหวต นั้น ไม่ได้เป็นคะแนนตัดสินว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งของอเมริกาเป็นการเลือกตั้งระดับรัฐ ผู้ชนะในแต่ละรัฐ จะได้คะแนนของคณะผู้เลือกตั้งของรัฐ หรือ electoral college ซึ่งมีจำนวนเท่ากับจำนวน ส.ส. และ ส.ว. ของแต่ละรัฐรวมกัน โดยผู้ใดได้เสียงของคณะผู้เลือกตั้งสูงกว่า ก็จะเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ซึ่งระบบดังกล่าวนี้ เป็นเหตุให้นางฮิลลารี คลินตัน พ่ายแพ้การเลือกตั้งแก่ทรัมป์เมื่อปี 2016 แม้จะได้รับคะแนนป็อปปูลาร์โหวตมากกว่าเกือบสามล้านเสียงก็ตาม.