“เศรษฐา”ไม่รอด! มติศาล รธน. 5-4 ขาดคุณสมบัติเป็นนายกรัฐมนตรี

เมื่อวันที่ 14  สิงหาคม  2567 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ถ่ายทอดสดผ่านยูทูปการอ่านคำวินิจฉัย เรื่องประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะ ตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4)และ(5) หรือไม่ วันพุธที่ 14สิงหาคม พ.ศ.2567 เวลา 15.30น. เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ฝ่ายผู้ร้องมอบหมายให้นายสมชาย แสวงการ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม นายประพันธ์ คูณมี 3 อดีต สว.เป็นตัวแทนเข้าฟังคำวินิจฉัย ขณะที่ฝ่ายผู้ถูกร้อง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมาย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าฟังคำวินิจฉัย

สำหรับมาตรการการรักษาความปลอดภัยโดยรอบอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคาร A) ที่ตั้งของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ยึดตามประกาศศาลรัฐธรรมนูญเรื่องอาณาบริเวณหรือพื้นที่ที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน รักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย ฉบับลงวันที่ 31 ก.ค. 2567 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันพุธที่ 14 ส.ค. 2567 ตั้งแต่ เวลา 00.01 น.ไปจนถึงเวลา 23.59 น.

ต่อมาเวลา 15.30น.คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำวินิจฉัยความว่า   ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติในการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี เสียง 5 ต่อ 4 ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

ยอมรับเสียใจถูกวินิจฉัยผิดจริยธรรมร้ายแรง แต่น้อมรับคำตัดสิน

นายเศรษฐา กล่าวยอมรับว่า เสียใจที่ถูกวินิจฉัยว่า ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง แต่น้อมรับคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขณะนี้ ให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม ทำหน้าที่รักษาการก่อน เพราะนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกฯคนที่ 1 และ รมว.พาณิชย์ อยู่ที่คาซัคสถาน กำลังเดินทางกลับมา พร้อมบอกว่าส่วนตัวหมดหน้าที่ไปแล้วเมื่อเวลา 15.30 น. และไม่เชื่อว่าจะมีคนวางยา หลังจากนี้ ต้องให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยดำเนินการ ขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นกระบวนการของรัฐสภา นายกฯคนต่อไปจะมาจากพรรคใดก็ตาม ก็พร้อมยอมรับ ส่วนการเดินหน้านโยบายสำคัญต้องให้รัฐบาลใหม่ตัดสินใจ ไม่อยากจะกดดันใดๆ ทั้งสิ้น

ภาคเอกชนช็อก “เศรษฐา” พ้นนายกฯ ความเชื่อมั่นดิ่ง 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในมุมของภาคเอกชนได้สะท้อนให้เห็นภาพหลายแล้ว และคำวินิจฉัยถอดถอนนายกฯ ทำให้นักลงทุนต่างช็อกและชะงักการลงทุน สำหรับปัจจุบันประเทศไทยมีปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุมเร้า รวมถึงมีความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้นในโลก และประเทศไทยก็ยังอยู่ในช่วงที่จะต้องรีบเร่งในการที่จะสร้างความเชื่อมั่น สร้างการลงทุนใหม่ ๆ เชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ

“ผมคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงจังหวะที่สำคัญ และปัจจัยที่เป็นตัวที่พิจารณาสำหรับนักลงทุน ก็คือเรื่องของการเมือง เราต้องมีการเมืองที่มีเสถียรภาพ หรือว่ามีความนิ่ง และต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมาไม่มีความต่อเนื่องมานาน การเปลี่ยนขั้วพรรคการเมืองตลอดเวลาก็จะทำให้นโยบายที่รัฐบาลเคยขับเคลื่อนนั้นหยุดชะงักไป มันก็ขาดความต่อเนื่อง”

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีคดี ตลอดระยะเวลากว่า 80 วัน ทุกคนก็ชะลอการลงทุนอยู่แล้ว และรอดูกันอยู่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง ทุกฝ่ายมีการมอนิเตอร์ ติดตามผล แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอุตสาหกรรมจะหยุดหมดเพราะก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของอุตสาหกรรมนั้น ๆ ด้วย

ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศฝั่งอเมริกา ยุโรป อาจจะให้น้ำหนักในเรื่องนี้มาก เรียกว่าซีเรียสเลยก็ว่าได้ ทำให้มีนักธุรกิจหลายรายต้องการความชัดเจน

นอกจากนี้ ยังมีการสอบถามพูดคุยกับทาง ส.อ.ท อยู่ตลอดเวลา แต่ว่านักลงทุนทั้งโซนเอเชียเองอย่างนักลงทุนจากญี่ปุ่น ที่ถือว่าเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของไทย และอยู่ในประเทศมา 40 – 50 ปี ก็อาจจะเริ่มเรียนรู้ และสามารถปรับตัวได้

“ตลอดระยะเวลาในช่วงปี 1 ที่ผ่านมา ผมคิดว่าเราต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลในชุดของนายเศรษฐา เพราะขึ้นมาเป็นรัฐบาลในช่วงที่เกิดความท้าทายของโลกมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้า เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ การที่ต้องเลือกข้าง การย้ายฐานการผลิตจำนวนมากที่ไม่เคยรุนแรงและเข้มข้นขนาดนี้มาก่อน และรวมถึงปัญหาสะสมของประเทศไทย ที่ลึกไปเชิงโครงสร้างมาตั้งนาน แต่ว่าท่านนายกก็สามารถเข้ามาทำงาน ปรับตัวและใช้เวลาไม่มาก 3-4 เดือน ก็เริ่มพอเข้าใจในหน้าที่และมีแนวทางแก้ปัญหาเรื่องต่าง ๆ ได้” นายเกรียงไกร กล่าว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *