อิงฟ้า วราหะ ย้อนเล่ามรสุมชีวิตแสนลำบาก ไม่มีเงินซื้อข้าว ท้อหนักเคยคิดสั้นฆ่าตัวตาย!!!

อิงฟ้า วราหะ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2022 เข้าของแฮชแท็ก #อิงฟ้ามหาชน ที่วันนี้พลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือที่การตอบรับจากแฟนคลับอย่างล้นหลาม พร้อมเล่าเรื่องราวชีวิตที่หลายคนยังไม่รู้ และวินาทีสูญเสียคุณพ่อที่ทำเอาชีวิตเครียดหนักถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มีชมพู่ ก่อนบ่ายและเป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

ตอนนี้ชีวิตแด๊ดดี๊เปลี่ยนไปแค่ไหน?

อิงฟ้า : หน้ามือเป็นหลังมือเลย จากคนที่ว่างงานมาเยอะในช่วงโควิด ตอนนี้ก็กลายเป็นว่างานแน่นเลย

เรียกว่าแทบไม่ได้นอนเลย?

อิงฟ้า : นอนน้อย แต่นอนนะ

ตอนนี้มีพ่อยก แม่ยก สายเปย์มาก ได้อะไรมาบ้าง?

อิงฟ้า : หลักๆ ก็เป็นพวงมาลัยที่เราออกคอนเสิร์ต มีทองคำ

เขาได้ที่ดินด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นที่ในประเทศและต่างประเทศ?

อิงฟ้า : ใช่

รู้สึกยังไงบ้างอยู่ดีๆ มีคนมาเปย์ให้เราเยอะขนาดนี้?

อิงฟ้า : มันเกินความคาดหมายมากๆ หนูไม่คิดว่าตัวเองจะมาอยู่จุดนี้ได้เหมือนกัน เราไม่คิดว่าคนที่เขารัก เขาจะซัพพอร์ตเรามากขนาดนี้ มันเยอะมากจริงๆ

แค่ไปกินข้าวแล้วตั้งไลฟ์สด แล้วแฟนคลับโทรเข้าที่ร้าน มื้อนี้หนูขอจ่าย อิงฟ้าบอกไม่เอา?

อิงฟ้า : ใช่ๆ สรุปวันนั้นเขาไม่ได้จ่าย

ทำไมเวลามีคนมาขอจ่ายให้เราถึงปฎิเสธ?

อิงฟ้า : เกรงใจ เพราะว่าร้านที่ทานก็รู้จักกันอยู่แล้ว ก็ช่วยอุดหนุนคุณป้าเขาไป

ถ้าตีเป็นมูลค่าของที่ได้ตอนนี้เท่าไหร่?

อิงฟ้า : โอ้ว…ถ้าหนูตีคร่าวๆ ก็น่าจะประมาณหลักล้านค่ะ

กว่าจะประสบความสำเร็จทุกวันนี้ย้อนไปช่วงประกวด มีช่วงแอบท้อเยอะเลย?

อิงฟ้า : เยอะมากค่ะ เพราะว่าการเก็บตัวมันค่อนข้างที่จะเหนื่อย ช่วงระยะเวลาการเก็บตัวมันก็จะมีกลุ่มแฟนนางงามที่เขาจะคอยแบบนู่นนี่นั่น ซึ่งนางงามทุกคนก็จะรับรู้ตลอด บางทีเราจะเจอกระแสดราม่า นู่นนี่นั่น มันก็จะทำให้เราเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ ช่วงที่เราท้อก็มี ก็มีหลายคนที่เป็นเหมือนกัน

อะไรที่ทำให้เราสู้แล้วผ่านตรงนั้นมาได้?

อิงฟ้า : ก็ถามตัวเองว่าเรามาอยู่ตรงนี้เพราะอะไร เรามีเป้าหมายของเราชัดเจนว่าเราอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราต่อยอดชีวิตครอบครัวของเราให้ดีขึ้น ก็ต้องสู้ กำลังใจจากด้อมก็สำคัญมาก ส่วนใหญ่ด้อมหนูจะไม่ใช่แฟนนางงามตั้งแต่แรกเริ่ม มาจากกลุ่มร้องเพลง การทำขวัญนาค หรือว่าคนที่มาจากกระแสการจิ้น หรือว่าการที่เรามีจุดยืนของเรื่อง LGBTQ เขาก็จะมาตามเราตรงนี้ เขาจะไม่เข้าใจบริบทของนางงามว่ามันจะต้องมีดราม่าเยอะขนาดนี้เลยเหรอเป็นกำลังใจให้น้องนะ มันก็เลยเกิดแรงซัพพอร์ตที่มันค่อนข้างมาก

คุ้มค่าไหมกับการที่น้องต้องเหนื่อยแล้วมาถึงจุดนี้?

อิงฟ้า : คุ้ม หายเหนื่อยเลยค่ะ วันที่ได้มงฯ คือไม่เล่นโซเชียลอะไรเลย นอน อิ่มแล้วก็หลับเลย หายเหนื่อย

กว่าจะสำเร็จแบบนี้เห็นว่าครอบครัวอิงฟ้าต้องย้ายถิ่นฐานค่อนข้างเยอะ?

อิงฟ้า : เหมือนโดนคำสาป เวลาอยู่ที่ไหนไม่เคยเกิน 3 ปี หนูต้องย้ายตลอด ตั้งแต่เด็กก็อยู่อุทัย ย้ายไปศรีสะเกษศรีสะเกษ กลับมาอุทัย อุทัยกลับมาสุพรรณ สุพรรณไปราชบุรี ราชบุรีกลับมาอุทัย อัทัยกลับมากรุงเทพฯ อย่างนี้

เคยถามครอบครัวไหม ทำไมเราต้องต้องย้ายบ้านบ่อยขนาดนี้?

อิงฟ้า : มันจะมีคำตอบในแต่ละปีเลย เหมือนพ่อหนูด้วยความที่เขาเป็นศิลปิน เขาจะค่อนข้างที่แบบถ้าเราอยู่ตรงนี้แล้วไม่โอเค ไม่รุ่ง เราย้ายกันดูไหม เพราะเราก็ไม่ได้มีสมบัติติดตัวอะไรกันอยู่แล้ว

พ่อหนูเป็นสายติสท์ อยากย้ายไปที่ใหม่ๆ?

อิงฟ้า : เหมือนเวลาเราทำอาชีพขายของ เวลาขายแล้วไม่ค่อยเวิร์กหรือว่าเจ๊งเราก็ย้าย เราไม่ได้มีสมบัติอะไร ไม่ได้มีบ้าน

ในวัยเด็กเราย้ายบ่อยๆ แบบนี้ เรามีเพื่อนทันไหม?

อิงฟ้า : มีนะคะ แต่ไม่รู้เป็นอะไร ตอนเด็กๆ หนูไม่เคยติดเพื่อนเลย อาจจะด้วยความที่เราย้ายบ่อย เราเลยไม่ติดเพื่อนจะติดพ่อกับแม่มากกว่า

ครอบครัวย้ายบ่อย ขยันทำงานก็จริง เห็นบอกว่ามีช่วงที่ไม่มีเงินเลยก็มี ไม่มีเงินซื้อข้าวกินเลยก็เคยเกิดขึ้น?

อิงฟ้า : มีค่ะ ตอนนั้นจำได้ขึ้นใจเลย ตอนนั้นอยู่ที่สุพรรณ มีข้าวแต่เราไม่มีเงินที่จะไปซื้อกับข้าวกิน เพราะเหมือนว่าเงินมันหมุนไม่ทัน เราก็เดินออกไปเด็ดผักบุ้งที่มันอยู่ตามคลอง เด็ดมาก็มาผัดกินกันในครอบครัว ตอนนั้นหนูไม่ได้รู้สึกซีเรียสอะไร เพราะว่าเรารู้ว่าถ้าแม่ทำกับข้าวนั่นคืออร่อยแล้ว

มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกถึงความลำบาก เพราะคุณพ่อป่วย?

อิงฟ้า : เราไม่รู้มาก่อนเลย เพราะอาจจะด้วยความที่เรายากจนกันด้วย เวลาเป็นอะไรคุณพ่อก็จะไม่บอก กลัวว่าต้องไปรักษา ก็ต้องเปลืองเงิน จะเป็นคนที่เก็บอาการเก่งมาก เก็บรักษาความเจ็บปวดมาตลอด จนมีอยู่วันหนึ่งที่เขาเริ่มผอมลงๆ ครอบครัวก็เริ่มสังเกตแล้วว่าแปลกๆ แล้วเขาก็ปวดท้องหนักมาก เราเรารู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ต้องไปตรวจ พอไปตรวจคุณหมอก็ถามว่าไปอยู่ไหนมา ทำไมเพิ่งมาตรวจนี่คือเข้าขั้นระยะที่4 แล้ว

พ่อป่วยเป็นอะไร?

อิงฟ้า : มะเร็งตับ ด้วยตอนที่เป็นศิลปิน ช่วงที่เขาวัยรุ่น เขาดื่มเหล้า ดูดบุหรี่บ่อย

ณ ตอนที่ตรวจเจอ ตอนนั้นคุณพ่ออายุเท่าไหร่?

อิงฟ้า : 43 ค่ะ ส่วนฟ้าอายุ 17 คาบ 18

พ่อเคยสัมภาษณ์ในรายการ ถ้าลูกผมเป็นศิลปิน ผมนี่แหละจะเป็นคนดูแลลูกให้อยู่ในสังคม อยู่ในวงการให้ดีที่สุด ณตอนนั้นคือรู้ว่าเป็นหรือยัง?

อิงฟ้า : ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็น แต่ตอนนั้นเป็นช่วงที่ซูบลง ผอมลง

หลังจากที่เรารู้มีเวลาทำใจนานแค่ไหน?

อิงฟ้า : คุณหมอแจ้ง ถ้ากำลังใจดี เต็มที่ก็ 4 เดือน เขาก็สู้ของเขาเต็มที่มากๆ ก็ 4 เดือนจริงๆ

ครอบครัวเรามีกันกี่คน?

อิงฟ้า : ปกติจะอยู่กัน 5 คน มีคุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว 2 คนแล้วก็ฟ้า มีลูกสาวทั้งหมด 5 คน

เดิมทีมันไม่ได้ดีอยู่แล้ว แต่นี่ขาดหัวหน้าครอบครัว ขาดกำลังหลัก หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

อิงฟ้า : ก็แตกแขนงออกไปหมดเลย หลังจากที่คุณพ่อเสีย คุณแม่ก็ขอไปบวชประมาณ 2 ปี ตัวฟ้าเองก็ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพ พี่คนกลางทำงานอยู่ที่กรุงเทพ แต่ว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน พี่คนโตแต่งงานมีครอบครัว มีลูก อยู่ที่ราชบุรี

ที่บอกว่าไปเช่าห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เล็กกว่าห้องน้ำ อันนั้นอยู่รวมกันก่อนเข้ากรุงเทพใช่ไหม?

อิงฟ้า : ใช่ค่ะ ตอนนั้นหนูอยู่ที่สุพรรณ จะอยู่กัน 4 คนพี่คนกลางอยู่กับคุณย่า ก็จะมีพี่คนโต พ่อแม่ แล้วก็ฟ้า ซึ่งห้องมันเล็กมาก ทุกวันนี้หนูกลับไปดูห้องเช่านี้ยังอยู่นะคะ ก็ยังเกิดคำถามกับตัวเองว่า ณ ตอนนั้นเราอยู่กันได้ยังไง แต่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าแคบ

เห็นว่าก่อนคุณพ่อจะเสีย คุณพ่อมีความไฝ่ฝันและมุ่งมั่นมากๆ อยากให้อิงฟ้าเป็นนักร้อง แต่ช่วงที่เซ็นสัญญาเป็นช่วงที่คุณพ่อไม่สบายแล้วก็เสียชีวิตพอดี?

อิงฟ้า : เราก็จะรับรู้มาตลอดตั้งแต่เด็กว่าเขาสนับสนุนเราในเรื่องของการร้องเพลง ความฝันของเขาแน่นอนคืออยากเห็นเราเป็นศิลปินเต็มรูปแบบ ณ ตอนนั้นก็เหมือนมีเรื่องบังเอิญจริงๆ ที่มีค่ายเพลงติดต่อเรามาในช่วงที่คุณพ่อรักษาตัวอยู่เป็นระยะที่4 ประมาณเดือนที่3 ที่4 ละ โอเคเราก็ไป จุดประสงค์ของเราตอนนั้นอยากจะเอาความฝันของพ่อให้สำเร็จ เพราะเราคิดว่านี่แหละคือกำลังใจที่ดีที่สุด เผื่อเป็นปาฏิหาริย์ บอกพ่อต้องหายนะ เราจะได้ไปอยู่กรุงเทพด้วยกัน พอหลังจากที่เราเซ็นสัญญาเสร็จปุ๊บ กลับมาไม่นานคุณพ่อก็เสียชีวิต

เหมือนชีวิตกำลังมีแสงสว่าง แล้วเสาหลักก็จากไป ตอนนั้นชีวิตเป๋ไปจนาดไหน?

อิงฟ้า : เป๋มากค่ะ ร้องไห้แทบทุกวัน ทำใจไม่ได้เลย

ทุกวันนี้ยังมีนึกถึงคุณพ่อ แล้วมีแอบร้องไห้บ้างไหม?

อิงฟ้า : มีค่ะ

ณ ตอนนี้เราสำเร็จแล้ว เคยพูดไหม พ่อหนูทำได้แล้ว?

อิงฟ้า : เคยค่ะ จริงๆ ก็คิดว่าเขาน่าจะรับรู้ได้ตลอดอยู่แล้ว

ถ้าคุณพ่อดูอยู่ ณ ตอนนี้อยากบอกอะไรคุณพ่อ?

อิงฟ้า : อยากบอกว่าไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว ตอนนี้สำเร็จทุกอย่างแล้ว ในเรื่องของคุณแม่ ครอบครัวตอนนี้ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว

ช่วงนั้นลำบากมาก ห้องก็เล็ก เงินก็ไม่มี คุณแม่เริ่มป่วย เป็นหวัด เป็นเบาหวาน ยังไม่มีเงินพาคุณแม่ไปหาหมอเลย?

อิงฟ้า : ใช่ค่ะ มันมีช่วงหนึ่งที่เราออกมาทำงานด้วยตัวเอง คุณแม่จะป่วยเป็นเบาหวาน ความดัน หัวใจ หลายโรครุมเร้า เขาต้องไปตรวจเช็กร่างกายตลอดทุกเดือน จะมีช่วงนึงที่เขาขอค่ารถไป ซึ่งเราก็เงินไม่พอจะทำยังไงก็มีช่วงที่หนักหน่วงอยู่พอสมควร

เห็นว่าอิงฟ้ามีช่วงที่หมดกำลังใจ เห็นบอกว่าแย่มากๆ ถึงขั้นไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้?

อิงฟ้า : ใช่ค่ะ ก็คิดสั้นค่อนข้างที่จะบ่อยเหมือนกัน เหมือนกับว่าเรามองข้ามความเจ็บปวดยังไม่ได้ แค่กลัวว่าถ้าสมมติเราทำแล้วเราไม่ตายเนี่ย คนข้างหลังเราจะเดือดร้อน คิดแค่นั้น แต่ตอนช่วงที่เราคิดสั้น ณ โมเมนต์ตอนนั้น ไม่ดีนะคะไม่ควรทำ เหมือนเราคิดว่าชีวิตเราวนลูปอยู่แค่ตื่นมา ทำงาน แล้วก็นอน แล้วมันก็มีเรื่องทำให้กดดันแล้วเครียดทุกวันเราเลยรู้สึกว่าเร่อยากหยุดไว้แค่นี้แล้วกัน ไม่อยากมีลมหายใจต่อแล้ว

มันเป็นพรสวรรค์ของอิงฟ้าในเรื่องของการร้องเพลง แต่ตอนนั้นหมดแพชชั่นไปเลย?

อิงฟ้า : ใช่ค่ะ ตลอดเวลาที่เราร้องเพลงมา เราจะเห็นคุณพ่อคอยให้กำลังใจตลอด เพราะว่าหนูไม่เคยประกวดชนะเลยตั้งเด็ก เป็น 10 ปี เขาจะคอยให้กำลังใจ คอยหาข้อดีของเราตลอด เราก็เลยมีกำลังใจทุกครั้งที่เราจะขึ้นเวที แต่พอวันนึงที่เขาหายไปแพชชั่นในการร้องเพลงของเรามันก็ค่อยๆ ลดลงๆ จนคอนที่ทำงานออฟฟิศ คุณแม่ทักว่าจะหยุดความฝันของเราจาิงๆ เหรอ แน่ใจแล้วนะ เราก็เลยฉุดคิด ก็ประจวบเหมาะกับตอนนั้นมีประกวดร้องเพลงรายการหนึ่งระดับประเทศ

เห็นว่าอิงฟ้าทำมาหลายอาชีพมาก?

อิงฟ้า : ถ้าตั้งแต่เด็กเลยก็เยอะมาก ถ้าเป็นแม่ค้าก็ขายมาทุกอย่างแล้ว พอเริ่มโตมา แคดดี้ก็เคย ตอนนั้น 13 ปีเองเป็นนักร้อง หมอทำขวัญนาค นางแบบ พิธีกร และเป็นพนักงานออฟฟิศทั่วๆ ไป

จากนักร้องไปเป็นหมอทำขวัญนาคได้ยังไง?

อิงฟ้า : ตอนเด็กหนูถูกปลูกฝังกับคุณตา คุณยาย คุณแม่ชอบพาหนูไปดูลิเก เรารู้สึกว่าหมอทำขวัญนาคและลิเก เป็นสิ่งที่เราอยากจะเป็นตั้งแต่เด็ก พอเราอยากเป็นปุ๊บ โตมาเราเริ่มร้องเพลงเป็น ตอนเรียน ม.ปลาย ก็มีครูบอกว่าลองไปแข่งขับเสภาดูไหม เป็นตัวแทนของโรงเรียน เราก็ไปกับเขา พอหนูเรียนจบ ม.ปลาย ปุ๊บก็มีครูที่เขาทาบทามไปทำขวัญนาคดูไหม เราก็ไปฝึกกับเขา

พอไปทำขวัญนาค แม่ของนาคจีบหมอทำขวัญ?

อิงฟ้า : มีบ่อยค่ะ จะเป็นฟิวแบบขอไลน์ส่วนตัวเราไว้สำหรับถ้าลูกเขาสึกแล้ว เราก็บอกว่าแม่ติดต่อผ่านไลน์ที่ให้งานได้เลยเหมือนกัน

เรื่องความรัก เรายอมรับว่าอยู่ในกลุ่ม LGBTQ?

อิงฟ้า : จริงๆ ยอมรับมานานแล้วก่อนเข้าวงการนางงามอีก แต่ตอนนั้นมันไม่ได้เป็นกระแส เราไม่ได้ดัง คนก็เลยไม่รู้

เคยมีแฟนแบบว่าผู้หญิงหรือยังไง?

อิงฟ้า : มีค่ะ

เห็นว่าแฟนคนแรกก็เป็นผู้หญิงเลย?

อิงฟ้า : ไม่เชิงเป็นแฟนคนแรก แต่ ณ ตอนนั้นเป็นเหมือนช่วงที่ใกล้จะเรียนจบ ก็เป็นแฟนผู้หญิงที่เรารู้สึกว่าเราเปิดใจ

เจอผู้หญิงแบบไหนที่รู้สึกทำให้เราละลายได้?

อิงฟ้า : จะชอบคนมีเสน่ห์ แต่ถ้าเป็นสเปคจริงๆ จะชอบคนฟันสวยและตัวหอม

คุณพยายามทุกอย่างเวลาแม่พูดอะไรออกมา คุณพยายามจะเป็นคนนั้นให้ได้ อย่างเช่นชอบคนที่สูงกว่า คุณจะไปต่อขาเลยจริงไหม?

อิงฟ้า : ไม่ค่ะๆ แค่แซวเล่น หยอกน้องเล่น

มีคลิปนึงที่คุณชาล็อตเขาร้องเพลงเพี้ยน แล้วคุณเอามือเลื้อยไปข้างหลังเขาแล้วเอามือกลับมาตีมือตัวเอง มันคืออะไร?

อิงฟ้า : เป็นความเคยชิน ปกติหนูร้องกับพี่ กับเพื่อน เวลาเขาร้องผิดหนูก็จะบอกว่าเอาใหม่ๆ พอเราชินแล้วเห้ย..มันไม่ได้

มีอยู่คอนเสิร์ตนึง นางนั่งเอาไหล่พิงกัน แล้วหันไปขอคุณแม่ดื้อๆ เลยว่าวันนี้เป็นแฟนพี่ปลอมๆ สักวันได้ไหม?

อิงฟ้า : เป็นโชว์ที่เราร้องวันสุดท้าย ที่เป็นหมอลำxมิสแกรนด์ คืนสุดท้ายเราอยากทำโมเมนต์ที่มันน่ารักๆ  การร้องเพลงคู่กันก็อยากให้น้องอินร่วมไปกับเราด้วย ก็เลยบอกว่าวันนี้ลองแกล้งเป็นแฟนกันสักวันนึงนะ

ชาล็อตคือสเปคไหม?

อิงฟ้า : หัวเราะ

ชาล็อตฟันสวยไหม?

อิงฟ้า : สวยค่ะ

ตัวหอมไหม?

อิงฟ้า : หอมค่ะ

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์  เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

คลิปสัมภาษณ์ อิงฟ้า วราหะ